-นี่คือครั้งแรกที่ อาร์เซน่อล ชนะในครึ่งแรก โดยสถิติครึ่งแรก 17 เกมก่อนหน้านี้อยู่ที่ ชนะ 0, เสมอ 12, แพ้ 5
– “ไอ้ปืนใหญ่” เก็บชัยชนะในบ้านมา 28 นัดติดแล้ว ยามเจอกับทีมที่อยู่ในโซนตกชั้น
– ฌอน ไดช์ กุนซือ เบิร์นลี่ย์ แพ้รวดทั้ง 7 เกมที่คุมทีมเจอกับ อาร์เซน่อล
– ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง หัวหอก อาร์เซน่อล กดไปแล้ว 22 ประตู จากการลงเล่นเกม พรีเมียร์ลีก 31 นัด ซึ่งถือเป็นสถิติที่ยอดเยี่ยมกว่า เธียร์รี่ อองรี ตำนานดาวยิงของสโมสร ที่ลงเล่น 31 นัดแรก และทำได้แค่ 17 ประตู
– ตอนนี้ เบิร์นลี่ย์ เพิ่งมีแค่ 12 แต้ม ซึ่งถือเป็นแต้มต่ำที่สุด หลังลงเตะในลีกสูงสุด 18 นัด นับตั้งแต่ฤดูกาล 1970-71 ที่ตอนนั้นมีแค่ 10 แต้ม
– บอร์นมัธ เก็บคลีนชีตในลีกได้เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่เกมที่ชนะ ฟูแล่ม 3-0 เมื่อเดือนตุลาคม
– ไบรท์ตัน แพ้ในเกม พรีเมียร์ลีก 3 นัดติดเป็นครั้งแรก นับตั้บแต่เดือนธันวาคม ปี 2017
– ฤดูกาลนี้ บอร์นมัธ ทำให้ทีมคู่แข่งได้ใบแดงไปแล้ว 5 ครั้ง ซึ่งถือว่ามากกว่าทุกๆ ทีม
– คริส ฮิวจ์ตัน กุนซือ ไบรท์ตัน ไม่เคยคุมทีมเอาชนะ บอร์นมัธ ได้เลย จากโอกาสทั้งหมด 5 ครั้ง (เสมอ 1 แพ้ 4)
– ไรอัน เฟรเซอร์ ดาวเตะ บอร์นมัธ ทำไปแล้ว 8 แอสซิสต์ในฤดูกาลนี้ ซึ่งมีแค่ เอแด็น อาซาร์ สตาร์ เชลซี เพียงคนเดียวที่แอสซิสต์ได้มากกว่าเขา
– เชลซี แพ้เกม พรีเมียร์ลีก ที่บ้านตัวเองเป็นครั้งแรกในรอบ 13 นัด (ก่อนหน้านี้ชนะ 7 เสมอ 5) หรือนับตั้งแต่ตอนแพ้ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 1-3 เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา
– นี่คือชัยชนะที่กรุงลอนดอนครั้งแรกในรอบ 11 เกมของ เลสเตอร์ หรือนับตั้งแต่เกมที่บุกไปอัด เวสต์แฮม ยูไนเต็ด 3-2 เมื่อเดือนมีนาคม ปี 2017
– เจมี่ วาร์ดี้ หัวหอกคนเก่ง เลสเตอร์ กดไปแล้ว 13 ประตู จากเกม พรีเมียร์ลีก 15 นัดหลังสุดยามเจอกับทีมในกลุ่ม “บิ๊ก 6”
– เซาธ์แฮมป์ตัน คว้าชัยในเกม พรีเมียร์ลีก 2 นัดติดเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่เดือนเมษายนปี 2017
– ฮัดเดอร์สฟิลด์ แพ้ถึง 9 จาก 12 นัดหลังสุดยามเตะเกม พรีเมียร์ลีก ที่บ้านตัวเอง (ชนะ 1 เสมอ 2) และจาก 12 นัด พวกเขาทำได้แค่ 4 ประตูเท่านั้น
– นาธาน เร้ดมอนด์ ปีก “นักบุญ” ทำประตูแรกของตัวเองในลีกฤดูกาลนี้ ซึ่งได้มาจากการพยายามยิงครั้งที่ 28
– นับตั้งแต่เริ่มฤดูกาลที่แล้ว ฮัดเดอร์สฟิลด์ เป็นทีมที่มีผู้เล่นโดนจดชื่อจากข้อหาพุ่งล้มมากที่สุด โดยมีถึง 4 ราย ซึ่งประกอบไปด้วย รายิฟ ฟาน ลา ปาร์ร่า, อเล็กซ์ พริตชาร์ด, โลร็องต์ เดอป๊วทร์ และ คริส โลว์
– 3 เกมหลังสุด แมนฯ ซิตี้ แพ้ไปถึง 2 ซึ่งเป็นจำนวนเท่ากับ 61 เกมก่อนหน้านั้น
– พาเลซ บุกไปเอาชนะ แมนฯ ซิตี้ ในเกมลีกได้เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 1990
– นี่คือการพ่ายเกม พรีเมียร์ลีก คาบ้านครั้งแรกของ แมนฯ ซิตี้ ที่ไม่ใช่การแพ้ให้กับทีมในกลุ่ม “บิ๊ก 6” นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปี 2016 ซึ่งตอนนั้นพวกเขาแพ้ เลสเตอร์ ซิตี้ 1-3
– 10 จาก 17 ประตูที่ แอนดรอส ทาวน์เซนด์ ดาวเตะ พาเลซ ยิงได้ในเกม พรีเมียร์ลีก มาจากการยิงนอกกรอบเขตโทษ
– นิวคาสเซิ่ล ไม่เคยแพ้ ฟูแล่ม คาบ้านในศึก พรีเมียร์ลีก (ชนะ 4 เสมอ 4) และ 6 ครั้งหลังสุดที่เจอกันที่บ้าน พวกเขาเก็บคลีนชีตได้หมด
– นี่คือคลีนชีตแรกในศึก พรีเมียร์ลีก ของ ฟูแล่ม นับตั้งแต่เกมที่ชนะ นอริช ซิตี้ 1-0 เมื่อเดือนเมษายน ปี 2014
– “สาลิกาดง” เก็บชัยชนะได้แค่ 3 จาก 17 เกมหลังสุดในศึก พรีเมียร์ลีก ยามเจอกับทีมที่เพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นมา (เสมอ 5 แพ้ 9)
– นิวคาสเซิ่ล เก็บชัยได้แค่ 2 จาก 10 เกม พรีเมียร์ลีก หลังสุด ยามเตะที่บ้านตัวเอง (เสมอ 1 แพ้ 7)
– ฟูแล่ม ทำประตูในเกม พรีเมียร์ลีก ไม่ได้ 6 จาก 9 เกมหลังสุด
– วัตฟอร์ด ชนะ 5 จาก 8 เกม พรีเมียร์ลีก หลังสุด ยามเจอกับ เวสต์แฮม (เสมอ 1 แพ้ 2)
– เวสต์แฮม เก็บคลีนชีตในศึก พรีเมียร์ลีก ไม่ได้ 10 จาก 11 เกมหลังสุด
– เคราร์ด เดวโลเฟว ดาวเตะ “แตนอาละวาด” ทำประตูในเกม พรีเมียร์ลีก ได้ 2 นัดติดเป็นครั้งแรกในชีวิต
– นี่คือครั้งแรกในรอบ 8 เกมที่ วัตฟอร์ด เก็บคลีนชีตได้ในศึก พรีเมียร์ลีก
– นี่คือครั้งแรกที่ “ปีศาจแดง” ทำได้ถึง 5 ประตูในเกม พรีเมียร์ลีก นับตั้งแต่เกมสุดท้ายของฤดูกาล 2012-13 ที่ทีมบุกไปเสมอ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน 5-5 ซึ่งถือเป็นเกมสุดท้ายในฐานะกุนซือ แมนฯ ยูไนเต็ด ของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ด้วย
– ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ปี 2017 (เจอกับ วัตฟอร์ด) ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ทำได้ถึง 3 ประตูตั้งแต่ช่วงครึ่งแรก
– ประตูที่ มาร์กซิยาล ยิงได้ ถือเป็นประตูที่ 500 ในศึก พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ และนี่คือการลงเล่นเกม พรีเมียร์ลีก นัดที่ 100 ของเจ้าตัวพอดีด้วย
– มาร์กซิยาล มีส่วนช่วยให้ “ปีศาจแดง” ได้ประตูโดยตรง (รวมทุกรายการ) ไปแล้วทั้งสิ้น 70 ลูก โดยเป็นการยิงเอง 45 ตุง + 25 แอสซิสต์